สารจากประธานกรรมการ
about-E@
นายสมใจนึก เองตระกูล
( ประธานกรรมการบริษัท )
พลังงาน เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ กลุ่มบริษัทฯ จึงมุ่ง เน้นขยายธุรกิจเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการด้านพลังงานในอนาคต ได้แก่ ธุรกิจสถานีอัดประจุไฟฟ้า ภายใต้แบรนด์ “EA Anywhere” ธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า ภายใต้แบรนด์ “MINE Mobility” ธุรกิจเรือโดยสารไฟฟ้า ธุรกิจแบตเตอรี่ และระบบกักเก็บพลังงาน เพื่อให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและประโยชน์สูงสุด
เรียนผู้ถือหุ้นทุกท่าน

ปี 2565 นับเป็นปีที่ 3 ที่ประเทศไทยและประเทศทั่วโลกได้เผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด - 19 มาอย่างยาวนาน แต่อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ได้ทยอยปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากการกระจายวัคซีนเป็นไปอย่างทั่วถึงในวงกว้าง ส่งผลให้ในหลายประเทศ มีการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ รวมถึงการเปิดประเทศมากขึ้น ทําให้การเดินทางระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามบริษัทฯ มีการประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และประเมินความเสี่ยงและโอกาสที่จะเกิดขึ้น รวมถึงผลกระทบต่อธุรกิจ เพื่อปรับตัวและปรับ แผนกลยุทธ์ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จากผลการดําเนินงานที่มีประสิทธิภาพและจากความร่วมมือของผู้มีส่วนได้เสีย ทั้งภายในและภายนอก องค์กร ส่งผลให้ในปี 2565 บริษัทฯ มีรายได้รวมทั้งสิ้น 27,546.81 ล้านบาท และมีกําไรสุทธิ 7,406.47 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อย ละ 33.99 และ 24.91 ตามลําดับ) ตลอดจนได้รับรางวัลและการยอมรับจากหลากหลายองค์กรทั้งในประเทศและระดับสากล ในด้านความยั่งยืน บริษัทฯ ได้รับการจัดอันดับให้เป็น Member ใน The Sustainability Yearbook 2022 โดย S&P Global อีกทั้งได้รับการประเมินความยั่งยืน MSCI ESG Ratings ในระดับ A และได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในรายชื่อหุ้นยั่งยืน THSI (Thailand Sustainability Investment) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในการดําเนินงานและความสําเร็จของบริษัทฯ ที่มุ่งมั่นนําเทคโนโลยีด้านพลังงานสะอาด พัฒนา ผลิตภัณฑ์เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ตลอดจนการกํากับดูแลกิจการที่ดี และผนวกเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ช่วยเสริมสร้าง ความยั่งยืนในระยะยาวแก่องค์กรอย่างต่อเนื่อง

การดําเนินงานของบริษัทฯ สําหรับธุรกิจใหม่ในกลุ่มแบตเตอรี่และยานยนต์ไฟฟ้าเป็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งเห็นได้จากสัดส่วนรายได้ ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญ ซึ่งมาจากโรงงานผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนและระบบกักเก็บพลังงาน อมิตา เทคโนโลยี (ประเทศไทย) ที่ได้เริ่ม กระบวนการผลิต ส่งผลให้โรงงานผลิตและประกอบยานยนต์ไฟฟ้า แอ๊บโซลูท แอสเซมบลี สามารถดําเนินการผลิตรถได้อย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ มีการ ส่งมอบรถบัสไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เพื่อรองรับยานยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ บริษัทฯ มีการขยายสถานี อัดประจุไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องทั้งระบบปกติและระบบชาร์จเร็วสําหรับยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ เพื่อเตรียมความพร้อมของการผลิตยานยนต์ ไฟฟ้า บริษัทฯ มีการวางแผนขยายกําลังการผลิตของโรงงานผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนสู่ 4GWh เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรม ยานยนต์ไฟฟ้า

สําหรับกลุ่มธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า ได้แก่ รถโดยสารไฟฟ้า เรือโดยสารไฟฟ้า “MINE Smart Ferry” และรถบรรทุกไฟฟ้า ในเดือน ตุลาคม 2565 บริษัทฯ ได้เปิดตัว รถกระบะไฟฟ้า “MINE MT 30” เพื่อรองรับการขนส่งให้ครบวงจรยิ่งขึ้น บริษัทฯ เล็งเห็นโอกาสในการพัฒนา ด้านการขนส่งระบบรางของไทย โดยได้ร่วมกับ CRRC Dalian ผู้ผลิตรถไฟรายใหญ่จากประเทศจีน ในการค้นคว้าวิจัยและพัฒนาหัวรถจักร ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่ และได้รับโอกาสจากกระทรวงคมนาคม โดยการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง ตามนโยบาย EV on Train นําหัวรถจักรไฟฟ้า (EV) หรือ “MINE Locomotive” ทดสอบระบบสับเปลี่ยนขบวน (Shunting) ณ สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ มีการพัฒนาสถานีอัดประจุไฟฟ้าขนาด 3 MWh ด้วยเทคโนโลยี Ultra-Fast Charge ใช้เวลาชาร์จเพียง 1 ชั่วโมง การพัฒนาเทคโนโลยีภายในกลุ่มที่เชื่อมโยงกันเป็นระบบนิเวศน์ยานยนต์ไฟฟ้า (EV Ecosystem) อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเทคโนโลยีด้านพลังงาน ไฟฟ้าและระบบกักเก็บพลังงาน รวมถึงการอัดประจุไฟฟ้าด้วยเทคโนโลยี Ultra-Fast Charge ที่มีความรวดเร็ว ส่งเสริมให้เกิดการเพิ่มมูลค่าให้กับ ผลิตภัณฑ์ฝีมือคนไทย บริษัทฯ มีความเชื่อมั่นในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีที่ทันสมัย สร้างนวัตกรรมที่เป็นของคนไทย ซึ่งช่วยส่งเสริมให้เกิด การยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม และเป็นเครื่องมือสําคัญอย่างยิ่งในการสร้างความแตกต่างและเพิ่มความสามารถใน การแข่งขันของบริษัทฯ รักษาความเป็นผู้นําในธุรกิจพลังงานสะอาด ส่งผลให้บริษัทฯ มีการเติบโตที่ยั่งยืนได้อย่างมั่นคง ถือเป็นปัจจัยสําคัญใน การสร้างห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทย และมีบทบาทสําคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมของประเทศ ในการร่วมผลักดันให้ประเทศไทยมุ่งสู่การเป็น ASEAN BEV HUB สําหรับการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาค

ทั้งนี้ บริษัทฯ มีกลยุทธ์เพื่อยกระดับการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะให้มีความสะดวกสบายและทันสมัย ช่วยลดมลภาวะ อย่างยั่งยืน ร่วมผลักดันให้เกิดผลสําเร็จของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าที่เป็น New S-Curve ตลอดจนการนําระบบกักเก็บพลังงานไปใช้ใน โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน และเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยผลักดันให้ประเทศไทยเข้าสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ํา (Low Carbon Society)

ในปี 2565 บริษัทฯ มีความภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีการเซ็นสัญญาซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิตจากการดําเนินธุรกิจรถโดยสารไฟฟ้าประจําทาง กับรัฐบาลของสมาพันธรัฐสวิส ซึ่งไทยและสมาพันธรัฐสวิสถือเป็นคู่แรกของโลกในการเป็นประเทศแรกที่มีการซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิตข้ามประเทศ ตามข้อ 6.2 ของข้อตกลง Paris Agreement ซึ่งสัญญาดังกล่าวมีการซื้อขายประมาณ 500,000 ตัน คาร์บอนไดออกไซด์ ตั้งแต่ปี 2566 - 2573

ตลอดปี 2565 ความสําเร็จที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการเป็นบริษัทของคนไทยที่นําเทคโนโลยี ด้านพลังงานสะอาดมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศ ในนามของบริษัทฯ ผมขอขอบคุณคณะกรรมการ ผู้บริหาร พนักงาน ลูกค้า คู่ค้า พันธมิตร ทางธุรกิจ ผู้ถือหุ้น สถาบันการเงิน หน่วยงานราชการ และรัฐวิสาหกิจชุมชน ตลอดจนผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้อง ที่มีส่วนสําคัญในการสร้าง ความสําเร็จและความภาคภูมิใจแก่บริษัทฯ เป็นอย่างสูง